logoedukey

แพทย์ความงาม ที่ไม่ได้ทำเพื่อความสวยงามแต่ทำเพื่อรักษาโรคและความมั่นใจ

7 กรกฎาคม 2566ทอฝัน กันทะมูลแนะแนวอาชีพ 199

แชร์บทความนี้

แพทย์ความงาม ที่ไม่ได้ทำเพื่อความสวยงามแต่ทำเพื่อรักษาโรคและความมั่นใจ

    จากเด็กที่ป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย สู่คุณหมอในวันนี้ แต่ไม่ใช่หมอธรรมดา อินเทรนสุด ๆ คือแพทย์ความงาม หรือ Aesthetic Physician พูดคุยเส้นทางและแนะแนวอาชีพนี้กับ นายแพทย์ ศรุต ประวิตรกุลวัฒน์ หรือ หมอโอ๊ต เจ้าของคลินิกและคาเฟ่ ซูซู คลินิกเวชกรรม และช่องยูทูปให้ความรู้ด้านความงาม OuixZ ผู้ติดตามกว่า 6 แสนคน !!


มาเป็นหมอ เพราะเห็นปัญหาในระบบการแพทย์ 

    หมอโอ๊ตเองเป็นคนที่เริ่มต้นจากความสนใจใน Programing การสร้างระบบให้หมอทำงานง่ายขึ้นด้วยเทคโนโลยีแต่จะทำแบบนั้นได้ต้องรู้ว่าหมอทำงานอย่างไรก่อน จึงเลือกเรียนแพทย์หลังจากเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้ 3 ปี เรียนหมอไปและตั้งใจส่งโปรเจคดังกล่าวให้อาจารย์ อาจารย์บอกว่าน่าสนใจแต่พอไปยื่นที่กระทรวงกลับโดนปฏิเสธ จึงคิดจะทำขึ้นมาเองแต่อุปสรรคคือต้นทุนที่ต้องใช้เยอะมาก ๆ หลังเรียนจบจึงได้มาทำงานในเอกชนและเลือกการแพทย์ด้านความงามที่ได้รายได้สูงเพียงพอที่จะต่อยอดทำโปรเจคที่ฝันไว้

หมอ Aesthetic ไม่เหมือนหมอเฉพาะทางอื่น 

    เมื่อเป็นแพทย์ด้านความงาม จะไม่เหมือนแพทย์อนุสาขาอื่น เป็นแพทย์ที่รักษาความมั่นใจ และจะต่างจากการรักษาโรคแบบอื่น คือต้องทำให้คนไข้ถูกใจด้วย เพราะเขามาด้วยความหวัง

​“ไม่ทำตัวเป็นตู้กดน้ำ ที่คนไข้เข้ามาบอกว่าอยากทำอะไร แต่ต้องรักษาระดับเป็นการแพทย์เสริมความงาม ตีความ วินิจฉัยก่อน ว่าคนไข้ต้องการปรับรูปหน้าอย่างไร และทำไมจึงเป็นอย่างนั้น”

    ตามที่หมอโอ๊ตได้บอกมาเรียกได้ว่าถึงจะได้ใช้ความรู้ที่แตกต่างออกไปแต่ก็ยังทำงานเป็นแพทย์อยู่เหมือนเดิม แม้จะจบ 6 ปีแล้วสามารถทำงานสายความงามได้ ก็ควรไปเรียนเพิ่มเติมเพราะจำเป็นอย่างมากในการเป็นหมอ Aesthetic บางคนอาจจะมองว่าแพทย์เสริมความงามไม่มีจรรยาบรรณแต่สามารถทำให้มีจรรยาบรรณได้โดยรักษาเท่าที่จะแก้ไขปัญหานั้น ๆ ของคนไข้ ไม่ได้ยัดเยียดหรือขายคอร์สอย่างเดียว 

    ซึ่งการทำงานก็คล้ายกับแพทย์ในระบบโดยเฉพาะการวินิจฉัยโรค ต้องวิเคราะห์และตีความ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้บอกว่าไม่ชอบที่หน้าบาน หน้ากลม ก็ต้องไปตรวจว่าเป็นเพราะกราม เส้นเอ็นที่หน้า ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ จึงจะช่วยหาวิธีการรักษาได้ถูกต้อง เพราะที่มาของปัญหานั้นแก้ด้วยคนละวิธีหมดเลย ทั้งหมดทำเพื่อการรักษาเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้คนไข้ พร้อมให้คำแนะนำที่เหมาะสมและถูกต้อง


สิ่งที่ต้องมี ถ้าอยากเป็นแพทย์ความงาม 

    หมอโอ๊ตได้ให้ข้อมูลถึงเรื่องนี้ไว้ว่าเป็นสิ่งที่ในหลายอาชีพก็ควรมี นั่นคือความรับผิดชอบ ซึ่งหมออาจจะต้องมีมากกว่าอาชีพอื่น เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตคนไข้ เรื่องถัดมาคือสุขภาพ ต้องยอมรับว่ามาเป็นหมอทั้งตอนเรียนและทำงานจะได้นอนน้อยมาก อาจจะไม่ได้ดูแลเรื่องสุขภาพดีเท่ากับอาชีพอื่น ยกเว้นมาทำคลินิกจะได้นอนเยอะกว่าหน่อย สิ่งสุดท้ายที่สำคัญคือความใจเย็น การควบคุมอารมณ์ เพราะเป็นหมอต้องรักษาทั้งร่างกายและสภาพจิตใจของคนไข้ รวมทั้งคนที่ทำงานร่วมด้วย ต้องถนอมน้ำใจกับทุกคน


หัวใจสำคัญของการเป็น Aesthetic Physician 

    ‘เป็นคำถามที่ยากที่สุดที่ได้ตอบมา’ หมอโอ๊ตกล่าว เพราะหัวใจหลักของการทำอาชีพนี้ก็ไม่ต่างจากการเป็นมนุษย์คนนึง ถึงแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ต้องพยายามปิดจุดบอดของตัวเองไปเรื่อย ๆ ควรพยายามพัฒนาตัวเอง เป็นสิ่งที่สำคัญในการทำงานเป็นหมอยิ่งพัฒนาให้มีทักษะที่ดีขึ้นก็ย่อมดีกับหน้าที่การงานและการรักษา 

    มากไปกว่านั้นคือสิ่งที่ได้จากการเป็น Aesthetic Physician คือได้ฝึกการคิดอย่างเป็นระบบ คิดอย่างมีเหตุมีผล เมื่อได้เป็นหมอจะทำให้มองโลกไม่ได้มีแค่มิติเดียว ต้องมีความเอื้อเฟื้อและมองในมุมมองของคนไข้ด้วยเหมือนกันจึงจะช่วยให้การรักษาและการทำงานเป็นไปได้ดี

​“คนไข้เดินเข้ามาหนึ่งคน ต้องดูแล้วว่าเขาทำอาชีพอะไร มีพฤติกรรมยังไง ญาติเป็นยังไง เพราะการจะดูว่าเขามีปัจจัยเสี่ยงอะไรที่ทำให้ไม่หายจากโรคคืออะไร ซึ่งการทำงานของหมอคือต้องทำให้เขาหายขาดจากโรคแล้วไม่กลับมาหาเราอีก นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการเป็นหมอจริง ๆ”

    อีกทั้งการเป็นหมอด้านความงามก็จะรายได้ที่เยอะกว่าหมอในระบบอยู่แล้ว และต้องมีความรู้ด้านธุรกิจด้วย เพราะเป็นเรื่องที่ต่างจากความรู้ทางแพทย์อย่างสิ้นเชิง ข้อแนะนำที่หมอศรุตพูดถึงคือการเข้าไปเรียนรู้งานในคลินิกก่อน เข้าใจระบบการทำงานในเชิงธุรกิจด้วยนั่นเอง


แนะนำน้อง ๆ

​“ไม่ได้อยากให้น้องมองว่าอยากมาเป็นหมอแค่เพราะเรื่องรายได้ อยากให้น้องมีจิตวิญญาณของความเป็นหมอจริง ๆ อยากช่วยเหลือคน อยากรักษาคนจริง ๆ เพราะถ้าเจอเรื่องที่ลำบากจะไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นหมอใครก็เป็นได้แต่เป็นหมอที่ดีเป็นยาก”